วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การฝึกใช้ลมในการเป่าแคนให้มีความไพเราะ

การฝึกใช้ลมในการเป่าแคนให้มีความไพเราะ

           การฝึกใช้ลมในการเป่าแคน  เพื่อให้ได้เสียงแคนมีความไพเราะ มีแนวทางในการปฏิบัติที่สำคัญที่ผู้ฝึกเป่าแคนจะต้องศึกษาให้เข้าใจ ดังนี้
               1. การฝึกใช้ริมฝีปาก ลิ้น และฟัน ในการเป่าแคน การทำให้เสียงแคนมีจังหวะหนักหรือเบามีหลายวิธี วิธีปฏิบัติที่คล้ายคลึงกันของหมอแคนที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย คือ ในขณะ ที่เป่าแคนให้ทำริมฝีปากห่อเข้าและบีบเข้าหากันให้เหลือเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ลมที่เป่าผ่านออกมาหรือดูดเข้าไปในปากมีกำลังแรง ซึ่งจะทำให้เสียงแคนมีความกระชับ หนักแน่น กังวานและชัดเจนสม่ำเสมอ ดังภาพ
รูปปาก      2. การ ฝึกใช้ลมเป่าที่ถูกวิธี  การเป่าจะเลือกฝึกเป่าคู่เสียงใดก่อนก็ได้ เช่น ถ้าจะฝึกเป่าลา วิธีปฏิบัติ คือ ขณะที่ปิดรูนับเสียง ลา(ล ลฺ)ให้ออมริมฝีปากบีบเข้าหากันทำเป็นรูเล็กๆ และเผยอริมฝีปากให้บานออกเล็กน้อย จรดริมฝีปากแนบชิดกับรูเป่าแล้วเป่าลมเข้าหรือดูดลมออกคล้ายๆ กับจะเปล่งเสียงของตัวพยัญชนะ “ ด หรือ ดร  หรือต หรือ  ล  หรือ  จ ”  โดยเปล่งออกมาเป็นสำเนียงของคำว่า “ดู” หรือ “แด”  หรือ “ตู”  หรือ  “แต” หรือ “แดน”  หรือ  “แลน”  “แจน” หรือ “แลน แจน” ดังนี้เป็นต้น แต่ด้วยโครงสร้างทางสรีรของปากและฟันแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน จึงอาจทำให้คุณภาพในการออกเสียงหรือการดูดลมเข้าการเปล่งลมออกแตกต่างกัน และอาจทำให้เสียงดังของแคนมีความไพเราะชัดเจนต่างกันด้วย  ดังนั้นผู้เป่าแคนจะต้องสังเกตเสียงแคนที่ตนเองเป่าว่าวิธีเปล่งลมเป่าแบบใดที่ทำให้เสียงแคนมีความไพเราะ กังวาน กระชับ ชัดเจน และหนักแน่นมากที่สุดก็ให้เลือกฝึกวิธีเป่าที่ตนถนัดนั้นให้คล่อง เพื่อนำไปใช้ในการเป่าลายแคนให้ไพเราะการฝึกขั้นต่อไป            3. จังหวะความเร็วในการใช้ลมเป่าแคน มี 2 แบบ   ดังนี้
                 3.1 ลมชั้นเดียว หรือบางทีเรียกว่า “ ลมเดียว หรือ ลมยาว ”  เป็นการเป่าหรือดูดลมออกช่วงจังหวะเดียวเสียงเดียวหรือหลายเสียงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำนองและจุดประสงค์ของผู้เป่า การใช้ลมแบบนี้ส่วนมากจะใช้ในการเป่าผ่อนลม เป่าสะบัด และเป่าอ้อน ซึ่งเป็นการเป่าลมยาวโดยในที่ขณะเปล่งลมออกให้ออมริมฝีปากคล้ายกับจะเปล่งเสียงของคำว่า “ดู” หรือ “แด”  หรือ “ตู” หรือ “แต” หรือ “แดน”  พร้อมกับกระดกปลายลิ้นปิดทางลมแล้วรีบเปิดออกโดยทำสลับกันไปเรื่อยๆ ช้าๆ  ตามลักษณะลมเป่าที่เหมาะสมกับตนเองดังที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นเริ่มแรกจึงควรฝึกเป่าเป็นช่วงลมยาวๆ ตามลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอย่างเป็นธรรมชาติจนเกิดความเคยชิน และควรฝึกเป่าสลับเสียงเปลี่ยนกันไปให้ครบทุกคู่เสียงจนเกิดความชำนาญ
                  3.2 ลมสองชั้น บางทีเรียกว่า “ลมสั้น หรือ ลมเร็ว”  เป็นการผันลิ้นในขณะที่เปล่งลมเป่าหรือดูดลมเข้าโดยการกระดกปลายลิ้นขึ้นปิดกั้นลมที่เปล่งออกมาให้หยุดแล้วรีบเปิดออกสลับกันเป็นช่วงสั้นๆ อย่างเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ลมที่เปล่งออกมาหรือดูดเข้าไปถูกแบ่งออกเป็นช่วงสั้นๆ ช่วงละ1 จังหวะย่อยในแต่ละห้องเพลง (หรือ 1 ห้องเพลงจะเปล่งลมออกหรือดูดลมเข้าเป็นช่วงสั้นๆ 4 ครั้ง)  ดังนั้นการผันลิ้นเพื่อแบ่งลมเป่าเป็นช่วงสั้นๆ สลับกันอย่างต่อเนื่องและเร็วเช่นนี้จึงเรียกว่า “ลมสองชั้น”  ซึ่งจังหวะการใช้ลมแบบนี้ส่วนใหญ่จะนำไป ใช้ในการเป่าตัดลม (จะกล่าวรายละเอียดในลำดับต่อไป)
           4. วิธีใช้ลมในการเป่าแคน  เมือฝึกการใช้ริมฝีปาก ลิ้น และฟัน พร้อมการผันลิ้นในการบังคับลมเป่าหรือการแบ่งลมเป่าออกเป็นช่วงๆ จนครบทุกคู่เสียงและเกิดความชำนาญแล้วควรฝึกการใช้ลมเป่าแบบต่างๆ ดังนี้
                4.1 เป่าผ่อน  เป็นการเป่าลมเดียวเป็นเสียงยาวติดต่อกัน โดยการเน้นเสียงให้ดังแล้วค่อยผ่อนลมให้เสียงเบาลง บางทีจะเรียกว่าการเป่าลมยาวหรือลมชั้นเดียว วิธีเป่าผู้เป่าต้องออมริมฝีปากห่อเข้าหากันแล้วเป่าลมเข้าหรือดูดลมออกมาให้ยาว แล้วค่อย ๆ ระบายลมเข้าหรือออกอย่างสม่ำเสมอ  การเป่าแบบนี้ใช้ในการเลียนเสียงทำนอง บทออนซอน (ทำนองที่ใช้เสียงยาวและจังหวะอิสระ  ใช้ในทำนองทางสั้นที่เป็นเสียงยาว  เป็นการฝึกเป่าลมเข้าและดูดลมออกช้าๆ  อาจจะมีทั้งการเป่าควบคุมจังหวะและแบบไม่เป็นจังหวะหรือจังหวะอิสระ คือไม่กำหนดความยาวหรือความถี่ของจังหวะ ผู้ฝึกสามารถเป่าลมเข้าหรือดูดลมออกได้นานตามที่ตนเองกำหนด  ควรฝึกควบคุมลมเป่าให้สม่ำเสมอทุกระดับเสียง ให้เสียงเดียวกันที่ดังออกมาระหว่างการเป่าลมเข้าและดูดลมออกมีสำเนียงเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันให้มากที่สุด
                4.2 เป่าสะบัด  เป็นการเป่าที่โยงเสียงสั้นๆ ประมาณ สองสามเสียงเพื่อเข้าสู่เสียงจังหวะหนักที่ตองการเน้นเสียง  หรือเป็นการเป่าให้เสียงแคนดังออกมาสองสามเสียงก่อนถึงเสียงหลักที่ต้องการเน้น  วิธีการเป่าตัดผู้เป่าต้องใช้การเป่าลมเดียวให้ได้เสียงสองเสียงหรือสามเสียงและเป่าตัดปิดท้ายที่เสียงหลักที่ต้องการเน้น  ข้อสำคัญของการเป่าสะบัดคือ นี้ที่ปิดรูนับต้องเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเสียงสะบัดจึงจะไพเราะ
                4.3 เป่าอ้อน หรือ ฮ่อน เป็นการเป่าเสียงยาวให้เสียงสั่นสะเทือนเป็นคลื่น โดยการเป่าเสียงหลักสลับกับเสียงข้างเคียงอย่างรวดเร็ว  เวลาเป่าต้องเขย่าลมผสมกับการพรมนิ้วบนรูนับ เช่น ถ้าเป่าอ้อนที่เสียง โด ก็ใช้เสียง เร สลับอย่างรวดเร็ว โดยการพรมนิ้วที่เสียง เร เป็นต้น
                4.4 เป่าตัด  เป็นการเป่าแคนที่ได้เสียงสั้นหรือเป่าครั้งละเสียง วิธีเป่าให้ออมริมฝีปากห่อเข้าหากันแล้วเป่าลมเข้าหรือดูดลมออกมาอย่างแรงพร้อมกับกระดกปลายลิ้นขึ้นปิดกั้นลมที่เปล่งออกมาให้หยุดหรือแบ่งเป็นช่วงๆอย่างรวดเร็วเพื่อแบ่งลมเป่าออกเป็นช่วงๆ ตามอัตราจังหวะของเสียงหรือทำนองของลายแคน บางที่จึงเรียกว่า “ลมสั้น” หรือ “ลมสองชั้น”  ควรฝึกผันลิ้นในการเป่าลมเข้าและดูดลมออกสลับกันให้ครบทุกคู่เสียงจนเกิดความชำนาญ ดังตัวอย่าง
           ตัวอย่างการฝึกเป่าตัดลม
   ตัวอย่างที่ 1  เป่าตัดลม 1 ครั้ง  ใน 1 จังหวะ
ฝึกเปล่งลมเป่า 1 จังหวะใน 1 ห้องเพลง เช่นขณะปิดคู่เสียงและเป่าลมเข้าหรือดูดลมออกพร้อมกระดกปลายลิ้นเพื่อแบ่งลมเป่าออกเป็นช่วงๆ โดยเปล่งลมเป่าคล้ายกับจะพูดคำว่า “ดู” ติดต่อกันเป็นจังหวะเท่ากับเสียงของ  ตัวโน้ตในแต่ละห้องเพลง  เช่น การเป่าสียง ลา
ตัดลม 1เสียง
       วิธีปฏิบัติ  ขณะปิดรูนับเสียง ลา แล้วเปล่งลมเป่าคำว่า “ดู”ระดับเสียงที่ผู้ฟังได้ยิน คือ เสียง“ลา”  ซึ่งมีจังหวะหนักแน่น ชัดเจน และมีจังหวะตกตรงกับโน้ตตัวสุดท้ายของแต่ละห้องเพลง  ให้ฝึกเป่าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โดยเปลี่ยนสลับเป็นคู่เสียงอื่นๆ ให้ครบทุกเสียง (โด เร มี ฟา ซอล ลา ที) พร้อมทั้งเปลี่ยนการเปล่งลมเป่าเป็นเสียงแบบอื่นๆ เช่น  “แด” หรือ  “แดน” หรือ  “แลน” หรือ “แจน” ดังนี้เป็นต้น  ควรฝึกใช้ลมเป่าให้เกิดความเคยชินเพื่อนำไปใช้ในการฝึกเป่าลายแคนในขั้นตอนต่อไป
       ตัวอย่างที่ 2  ฝึกเป่าตัดลม 2 ครั้ง ใน 1 จังหวะ   ขณะปิดคู่เสียงและเป่าลมเข้าหรือดูดลมออกพร้อมกระดกปลายลิ้นเพื่อแบ่งลมเป่าออกเป็น 2  จังหวะย่อยใน 1 ห้องเพลง  โดยเปล่งลมเป่าคล้ายกับจะพูดคำว่า “แลน แจน” ติดต่อกัน เช่น การเป่าสียง ลา
ตัดลม2ครั้ง 1 จังหวะ
วิธีปฏิบัติ  ขณะปิดรูนับเสียง ลา แล้วเปล่งลมเป่าคำว่า “แลน แจน”  ระดับเสียงที่ผู้ฟังได้ยินจะเป็นเสียง “ลา ลา” ซึ่งมีจังหวะหนักแน่น ชัดเจน และมีจังหวะตกตรงกับโน้ตตัวสุดท้ายของแต่ละห้องเพลง(ตรงกับลมเป่าคำว่า “ แจน” ให้ฝึกเป่าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โดยเปลี่ยนสลับเป็น  คู่เสียงอื่นๆ ให้ครบทุกเสียง(โด เร มี ฟา ซอล ลา ที) พร้อมทั้งเปลี่ยนการเปล่งลมเป่าเป็นแบบอื่นๆ เช่น  “แดน  แดน” หรือ “แลน  แดน” หรือ “ แลน  แจน” หรือ “แลน  แตน ”  ดังนี้เป็นต้น  แล้วเลือกเสียงที่ชัดเจนและเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด  ควรฝึกใช้ลมเป่าที่ถนัดให้เกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัยเพื่อนำไปใช้ในการฝึกเป่าลายแคนในขั้นตอนต่อไป
  ตัวอย่างที่ 3  ฝึกเปล่งลมเป่ามากกว่า 2  จังหวะย่อยใน 1 ห้องเพลง ขณะปิดคู่เสียง เป่าลมเข้า หรือดูดลมออกโดยแบ่งลมเป่าออกเป็นช่วงๆ พร้อมเปล่งลมเป่าติดต่อกันเป็น1-4 จังหวะย่อย ใน 1 ห้องเพลง  เช่น
        ตัวอย่างการเป่าเพลงเต้ยโขง  โดยฝึกใช้ลมเป่าทั้งลมยาวและลมสั้น
ฝึกลมเพลงเต้ยโขง
      วิธีปฏิบัติ  ขณะปิดรูนับคู่เสียงตามโน้ตพร้อมเปล่งลมเป่าคล้ายกับเสียงของคำว่า “แด หรือ แดน” ระดับเสียงที่ผู้ฟังได้ยินจะเป็นเสียงที่มีจังหวะหนักแน่น ชัดเจน ให้ฝึกเป่าเช่นนี้ไปเรื่อยๆ  หรือจะเปลี่ยนวิธีการเปล่งลมเป่าเป็นเสียงแบบอื่นๆ  เช่น  “ ดู ”  หรือ  “ แดน ”   หรือ    “ แลน  แดน”  หรือ “แลน  แตน ” ดังนี้เป็นต้น ควรฝึกใช้ลมเป่าให้เกิดความเคยชินและติดเป็นนิสัยเพื่อนำไปใช้ในการฝึกเป่าลายแคนในขั้นตอนต่อไป
         ข้อสังเกต  จากตัวอย่างการเป่าเพลงเต้ยโขง จะสังเกตเห็นว่าระดับเสียงที่มีอัตราจังหวะเท่ากับ 2 จังหวะย่อย ส่วนใหญ่จะเปล่งลมออกคล้ายกับเสียงของตำว่า แดน  ส่วนคำว่า แด  จะตรงกับระดับเสียงที่มีอัตราจัหวะเท่ากับ 1 จังหวะย่อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น